ใครได้ยินชื่อนี้ในตอนนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก แต่เมื่อ 10 ปีก่อน (เริ่มเปิดเมื่อปี 2549) ธุรกิจได้ถูกก่อตั้งขึ้น และเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นเมื่อปี 2555
ใครจะไปรู้ ว่าผ่านมาอีก 3 ปี นับจากเข้าตลาด ธุรกิจจะมีการเติบโตที่ต่อเนื่องแบบ Aggressive จริงๆ
ก่อนที่จะไปเริ่มรายละเอียดโดยย่อ ตั้งแต่นั่งอ่าน 56-1 ผมชอบบริษัทนี้มากเลย ไม่ว่าจะเป็น Business Model และงบการเงินก่อนเข้าตลาด ถือว่าไม่ธรรมดา จนช่วงที่ผ่านมาไม่นานได้ยินคนพูดถึงเลยว่า ถ้าเมื่อ 5 ปี ก่อนใครได้สังเกตหน้าร้าน Shop ของ Beauty เเล้วเดินเข้าไป (สอดรู้สอดเห็นสักนิด) อาจจะมีโอกาสได้จับหุ้น Growth ตัวนึงเลย (โอกาสแบบนี้มาไม่บ่อย)
บทความนี้ผมอยากจะให้จับตามคำอธิบายของผมสั้นๆใน Business Model นี้เพราะผมเชื่อว่านักลงทุนที่ตามล่า Growth Stock ต้องชอบใจแน่นวลล
เอาล่ะเข้าเรื่องกันดีกว่า
ธุรกิจเป็นธุรกิจเกี่ยวผลิตภัณฑ์เสริมความงามภายใต้ Brand ที่เป็นของไทยทั้งหมด โดยผ่านการร่วมมือกับ R&D ของบริษัทที่รับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ + Business Development ของบริษัทเอง
โดยมีโรงงานผลิตที่ ไทย อินโดนีเซีย เยอรมันนี เกาหลี
ปัจจุบันมีช่องทางการจำหน่ายและสัดส่วนรายได้แบ่งเป็นดังนี้
1. Shop Concept มีทั้งหมดตอนนี้ 323 สาขา สัดส่วนคิดเป็น 84% อยู่ภายใต้ Shop Brand ของตัวเอง 3 Brands ดังนี้
- Beauty Buffet 239 สาขา
- Beauty Cottage 71 สาขา
- Beauty Market 13 สาขา
2. Channel อื่นๆ 16% -----จำพวก Modern trade, E-commerce, Convenience Store.
ซึ่งถ้าดูให้ดีๆ ธุรกิจนี้คล้ายกับ Business Model ของ 7-11 ไหมครับ
แนวโน้มการเติบโตที่ผ่านมา ซึ่งมาจากทั้งการทำการตลาดและ เพิ่มสาขาด้วย
- รายได้เติบโต 45%
- กำไรโต 58% โตเร็วจนน่าตกใจ
ส่วนของ GPM ในแต่ละส่วนก็ฟังเเล้ว น่าตกใจอีกเช่นกัน
- Beauty Buffet 60%
- Beauty Cottage 70%
- Beauty Market 30-40%
ข้อควรระวังสำหรับ ธุรกิจที่เป็น Retailer คือ เรื่องการควบคุมสินค้าคงเหลือ และเรื่องของการตกรุ่นหรือหมดอายุของสินค้า ซึ่งทาง Beauty ก็ทำได้ดีมากเช่นกัน (เดี๋ยวอธิบายในงบเพิ่มเติม)
พูดถึงงบการเงินกันหน่อย
งบกำไร/ขาดทุน
ขอดูงบนี้เป็นงบแรก เพราะจะได้รู้ว่าธุรกิจตอนนี้ พอไปรอดไหม
- จากข้อมูลข้างต้น รายได้โตมากกว่า ต้นทุน ซึ่งโตตามไม่ทัน นี้สิเจ๋ง
- พร้อมทั้งมีการกระตุ้นเพิ่มยอดสาขาและทำการตลาด ปี 2557-2558 นี้ ก้าวกระโดด ดึ๋งๆเลย (ราคาหุ้นก็เช่นกัน T T)
- EBITDA ที่สูง พร้อมทั้งส่วนของ EBIT ที่ยังสูง บ่งบอกว่า มีการตัดค่าเสื่อมที่น้อยมาก แสดงว่าไม่ได้เป็นธุรกิจที่ต้องลงทุนหนัก ซึ่งก็สอดคล้องกับตัวธุรกิจ
- CFO(+)
***มาจากกำไรที่สูง และตามคาดตัดค่าเสื่อมแค่เพียง 60-70 ล้านเท่านั้น ถ้าเทียบกับการทำยอดขายได้แล้วถือว่า ชิคๆ เบบี๋มาก
***ไม่มีการเพิ่มของลูกหนี้การค้า อันนี้ก็เเจ่ม
***อัตราการเพิ่มของเจ้าหนี้การค้า มันมองได้ 2 มุม แต่สำหรับผม ผมมองว่าเป็นมุมของการที่มีอำนาจต่อรองมากขึ้นมากกว่า
- CFI (-) นำเงินไปซื้อเงินลงทุนชั่วคราวเพิ่มขึ้น
- CFF (-) จ่ายปันผล รายการใหญ่หลัก รายการเดียวเลย
งบดุล
- D/E = 0.18 โดยประมาณ คือ หนี้แทบหาไม่เจอ แล้วส่วนที่บอกก็เป็นหนี้ที่ไม่มีภาระดบ. อีก (งบจะสวยไปไหน)
- สินค้าคงเหลือ ทรงๆ แสดงว่าการบริหารสินค้าคงเหลือ ทำได้เยี่ยม
- ที่สำคัญเงินสด ในมือ และ เงินเทียบเท่าเงินสด มีอยู่ประมาณ 50 % ของมูลค่าสินทรัพย์ทั้งบริษัท
สุดท้ายแล้ว การลงทุนมีความเสี่ยงนะครับ ศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจ
Offshore Investor....
ติดตาม Page ได้ที่
https://www.facebook.com/offshoreinvestorfc/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น